เคยสังเกตมั้ยครับว่า มีตึกหลายๆแห่งในกรุงเทพฯ ที่พอเราขับรถผ่านแล้วรู้สึกว่าภาพสะท้อนทำไมมันบิดๆเบี้ยวๆ ดูแปลกตาชอบกล โดยเฉพาะตึกสูงที่สร้างมานานๆแล้ว ภาพสะท้อนของตึกจะบิดเบี้ยวมากกว่าตึกใหม่ๆที่สร้างในปัจจุบัน…
ภาพสะท้อนที่บิดๆเบี้ยวๆเหล่านี้ ในภาษาวงการกระจกเค้าเรียกว่า Distortion ส่วนสาเหตุที่ทำให้กระจกเหล่านี้ให้ภาพสะท้อนที่บิดเบี้ยวๆ เกิดได้จากสองสาเหตุครับ
สาเหตุที่ 1 เกิดจากการติดตั้งกระจกเข้าเฟรมโดยมีแรงกดที่ขอบเฟรมกับกระจกไม่สม่ำเสมอกัน ซึ่งอาจทำให้กระจกเกิดการโก่งตัวในเฟรมและทำให้เกิดภาพบิดเบี้ยวได้ อย่างตัวอย่างภาพข้างบน จะเห็นว่ากระจกจะโค้งไปทางเดียวกันในลักษณะปูดกลางบาน เหมือนกับจะมีความพยายามยัดกระจกเข้าเฟรมโดยมีแรงกดที่ขอบกระจกบางด้านไม่เท่ากันครับ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพสะท้อนเกิดการบิดเบี้ยวได้ครับ
ถ้ากระจกไม่ได้อบเทมเปอร์มาและเป็นกระจก Anneal เรื่องการติดตั้งจึงน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ภาพสะท้อนบิดเบี้ยว แต่ถ้าเป็นกระจกอบเทมเปอร์ ลองมาดูสาเหตุที่สองกันครับ
ส่วนสาเหตุที่ 2 ที่กระจกสะท้อนภาพบิดเบี้ยวคดเคี้ยวไปมา ก็เพราะผิวกระจกมันไม่เรียบครับ! ซึ่งส่วนใหญ่ปัญหานี้เราจะพบได้มากถ้าอาคารนั้นใช้กระจกสะท้อนแสง (Reflective Glass) เพราะถ้าผิวกระจกมีความไม่เรียบเพียงเล็กน้อย เราก็จะมองเห็นเอฟเฟคได้ชัดกว่ากระจกที่มีค่าการสะท้อนต่ำนั่นเอง
ในบทความเก่าๆ ผมเคยพูดถึงกระจกโฟลตว่าเป็นหนึ่งในวัสดุที่เรียบที่สุดในโลก แต่ถ้ากระจกโฟลตแผ่นนั้นถูกนำมาผ่านกระบวนการเทมเปอร์เมื่อไหร่ กระจกที่เคยเรียบก็จะไม่เรียบอีกต่อไปแล้วครับ
เพราะในการอบกระจกเทมเปอร์ กระจกจะถูกอบโดยกลิ้งไปกลิ้งมาบนโรลเลอร์เซรามิคในเตาที่ความร้อนประมาณ 620 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนนี้จะเปลี่ยนสภาพกระจกให้อ่อนตัวลง จากนั้นจึงถูกส่งไปเป่าลมให้เย็นลงอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกระจกเทมเปอร์ ซึ่งไอ้ตอนที่กระจกอ่อนตัวลงนี่แหละครับ ถ้าผู้ผลิตใช้อุณหภูมิในการอบกระจกสูงเกินไป (ซึ่งยิ่งใช้อุณหภูมิสูง กระจกก็จะมีโอกาสแตกในเตาน้อยลง) ก็จะทำให้กระจกเกิดความบิดเบี้ยวได้มากขึ้นจากการวิ่งไปวิ่งมาบนเตาลูกกลิ้งในเตาเทมเปอร์
นอกจากปัญหาเรื่องผิวเป็นคลื่น (Roller Wave) ที่ผมอธิบายไปแล้ว ปรกติแล้ว ผู้ผลิตกระจกเทมเปอร์จะตั้งอุณหภูมิในเตาให้กระจกแอ่นขึ้นเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ขอบกระจกไปกระแทกกับโรลเลอร์ในระหว่างที่กระจกวิ่งอยู่ในเตาตามภาพข้างบนครับ จากนั้นก็ใช้วิธีปรับสูตรของแรงดันลมในห้องเป่าลมเย็น (Quenching) ให้กระจกกลับมาเรียบตามเดิม ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในกระบวนการผลิตกระจกเทมเปอร์ จะมีจุดเสี่ยงมากมายที่จะทำให้กระจกไม่เรียบเหมือนกระจกโฟลตอีกต่อไปครับ
ดังนั้น ผู้ผลิตกระจกเทมเปอร์จะต้องตรวจสอบผิวกระจกที่ท้ายไลน์การผลิตให้ดีครับ ว่าผิวกระจกมีความเรียบอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้หรือไม่ โดยวิธีง่ายๆก็คือจะต้องตรวจสอบภาพสะท้อนที่ผิวกระจกจากแผ่นซีบร้าบอร์ด (Zebra Board)
แต่ข่าวดีก็คือว่า เตาเทมเปอร์สมัยนี้ จะมีระบบลมกวนภายในเตา (Convection) ซึ่งจะช่วยให้อุณหภูมิกระจกภายในเตามีความสม่ำเสมอมากขึ้น โดยเฉพาะกระจกประหยัดพลังงานทั้งหลาย ที่กระจกจะไม่ค่อยดูดซับความร้อนในเตาได้เท่าที่ควร ก็เลยต้องอาศัยลมกวนในเตา ช่วยทำให้กระจกร้อนทั่วถึงกัน ดังนั้น ด้วยเทคโนโลยีของระบบ Convection ที่ว่า ก็สามารถช่วยลดปัญหา Distortion ให้น้อยลงไปได้พอสมควร และนั่นก็พอจะอธิบายสาเหตุว่าทำไมตึกสมัยก่อนๆ กระจกจึงดูบิดเบี้ยวมากกว่าตึกสมัยนี้นั่นเองครับ!
จริงๆแล้ว เรื่องราวของกระจกเทมเปอร์ยังมีเนื้อหาให้เล่าได้อีกมากมาย เช่นคำว่า anisotropy / quench mark / white mark แต่กลัวผู้อ่านจะเบื่อกับเรื่องเทคนิคพวกนี้ซะก่อน ผมเลยขอเลือกเรื่องราวของ Distortion มาเล่าก่อนในครั้งนี้นะครับ (แต่ก็ไม่วายมีเทคนิคซะเยอะเลย 555)
เครดิตภาพ -vitrum industries / คุณแล่ม จันท์พิศาโล / Eric Segara- เรื่อง - กระจกไม่กระจอก -