สำหรับหัวข้อวันนี้ ผมขอนำเสนอบทความในเรื่องของ ‘กระจกสีตัดแสง’… แต่ก่อนอื่น ผมคงต้องอธิบายก่อนว่า กระจกสีตัดแสงคืออะไร? ใช่กระจกเขียวใสที่ทุกท่านรู้จักกันรึป่าว?
รู้จักกับ ‘กระจกสีตัดแสง’
กระจกสีตัดแสง ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า ‘Tinted Glass’ หรือ ‘Heat-Absorbing Glass’ จริงๆแล้วกระจกสีเหล่านี้ ก็จะมีส่วนประกอบเหมือนกระจกใสนี่แหละครับ แต่เค้าจะเพิ่มอ็อกไซด์ของโลหะชนิดต่างๆเข้าไปในน้ำกระจกในระหว่างขั้นตอนการหลอมกระจกโฟลต ซึ่งพวกโลหะเหล่านี้จะเป็นตัวที่ทำให้สีในเนื้อกระจกเข้มขึ้น และสามารถปรับส่วนประกอบของโลหะรวมถึงปริมาณที่ผสมเข้าไป เพื่อให้ได้เฉดสีและความเข้มของกระจกตามที่ต้องการ
จากภาพข้างบน จะเห็นได้ว่า เมื่อเราใส่โลหะเข้าไปในกระจกมากขึ้น (กราฟแท่งสีฟ้า) กระจกก็จะตัดแสงและความร้อนได้มากขึ้นเช่นกัน (กราฟเส้นสีแดงและเขียว) โดยการที่กระจกกันความร้อนได้มากขึ้น ก็เป็นเพราะปริมาณของสารโลหะที่ผสมเข้าไป จะเป็นตัวดูดซับความร้อนเอาไว้ในเนื้อกระจก จึงทำให้ความร้อนผ่านกระจกเข้ามาได้น้อยลงนั่นเองครับ
กระจกสีตัดแสง มีสีอะไรบ้าง?
เอาแค่สองค่ายกระจกยักษ์ใหญ่คือการ์เดียนและอาซาฮี เค้าก็มีเฉดสีที่ผลิตขึ้นมามากมายรวมกันหลายสิบเฉดสีแล้วครับ! แต่ที่รู้จักกันในวงการกระจกบ้านเราจริงๆก็มีไม่กี่เฉดสี และส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยกับการเรียกชื่อสีกระจกแบบเหมารวมมากกว่า ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นสีรุ่นไหน ของโรงงานอะไร อันนี้อาจจะเพราะว่าในอดีต กระจกสีตัดแสงในบ้านเราก็ไม่ได้มีให้เลือกมากมายนัก และที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยก็จะมีแค่ กระจกเขียวใส กระจกสีชาอ่อน สีชาดำ ประมาณนี้เท่านั้นเองครับ!
ในปัจจุบัน กระจกสีตัดแสงก็จะมีเฉดสีที่ขายกันในท้องตลาดอยู่ประมาณ 4 โทนสีครับ ได้แก่ สีเขียว สีชา สีเทา และ สีฟ้า
‘สีเขียว’ เป็นสียอดนิยมอันดับหนึ่งมหาอัมตะนิรันดร์กาลในบ้านเรา อันนี้อาจเป็นเพราะกระจกที่ทั้งสองค่ายผลิตออกมา แม้จะมีสีที่ต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงกันมากทีเดียว ซึ่งเมื่อยักษ์ใหญ่สองแรงแข็งขัน ช่วยกันโปรโมตกระจกเขียวอย่างจริงจัง บวกกับแรงโฆษณาของบ้านจัดสรรและคอนโดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ก็เลยช่วยกันทำให้ภาพลักษณ์ของกระจกเขียว กลายเป็นกระจกที่ใช้แล้วรู้สึกสบายตา และลดความร้อนในบ้านได้เป็นอย่างดี ซึ่งแม้การใช้กระจกเขียวใส (รุ่นเดิมๆ) ในบ้านพักอาศัยจะช่วยกันความร้อนได้ดีกว่ากระจกใสอยู่พอสมควร แต่จริงๆแล้ว ผมอยากแนะนำว่า ยังมีกระจกเขียวรุ่นใหม่ๆ บางตัวที่น่าใช้กว่ารุ่นเดิมมาก และที่สำคัญ… ราคาก็แทบจะไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่เลยครับ!
เมื่อสามปีก่อน กระจกเขียวที่ได้ฉลากเบอร์ 5 จะทำได้ที่ความหนา 6 มม.ขึ้นไป (เช่น SMGI / SMGII และเขียวพานาซัพ) และบางตัวยังต้องใช้กระจกที่ความหนาถึง 8 มม. จึงจะได้ค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ แต่ในช่วงหลังๆ ทั้งค่ายอาซาฮีและการ์เดียน ได้มีการพัฒนากระจกเขียวออกมาอีกหลายรุ่นที่มีค่าประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยในปัจจุบัน เราสามารถเลือกใช้กระจกเขียวความหนาเริ่มต้นแค่ 5 มม. ก็ได้รับฉลากกระจกอนุรักษ์พลังงานเบอร์ 5 จากกระทรวงพลังงานแล้วครับ! โดยกระจกเขียวที่ผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ความหนา 5 มม. ล่าสุดจะมีสองตัว ได้แก่ ‘SMGIII’ จากค่ายการ์เดียน และ ‘เอเนอร์จีกรีน’ จากทางอาซาฮีนั่นเอง!
‘สีเทา’ ต้องบอกว่าเป็นโทนสีที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ครับ แม้จะยังไม่เป็นที่แพร่หลายทั่วประเทศเท่ากับสีเขียว แต่ก็เป็นโทนสีที่คอนโดใหม่ๆเลือกใช้กันมากขึ้น โดยกระจกโทนสีเทาที่นิยมใช้กันมากในตอนนี้ คือ ‘กระจกสียูโรเกรย์’ (Eurogrey) ของอาซาฮีครับ แม้จะเป็นกระจกที่นำเข้าจากอินโด แต่ก็มีสต๊อกในเมืองไทยและหาของได้ไม่ยากนัก (ยกเว้นบางความหนา) ส่วนของการ์เดียนก็จะมีกระจกนำเข้าเช่นกัน ในชื่อว่า ‘คริสตัลเกรย์’ (CrystalGrey) ซึ่งกระจกตัวนี้จะมีสีอ่อนกว่ายูโรเกรย์ ส่วนการจะเลือกใช้สีไหน ก็แล้วแต่ความชอบเป็นหลักครับ
ในการเลือกใช้กระจกสีตัดแสง นอกจากการเลือกเฉดสีที่ชอบแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรจะคำนึงถึงก็คือค่าการส่องผ่านของแสง (VLT) และค่าการส่งผ่านพลังงานความร้อน (SHGC) ของกระจก โดยผมได้รวบรวมค่าประสิทธิภาพของกระจกสีตัดแสงต่างๆที่มีจำหน่ายในท้องตลาดเมืองไทยบางตัวไว้ให้ดังนี้ครับ [อ่านบทความประกอบเรื่อง ‘การอ่านค่าประสิทธิภาพกระจกอย่างง่าย’ คลิ้กที่นี่]
กระจกสีตัดแสง ใช้ๆไป กระจกก็มีโอกาสแตกเองได้… เพราะอะไร?
สาเหตุที่ฝรั่งเค้าเรียกกระจกสีตัดแสง ว่า Heat-Absorbing Glass ซึ่งแปลตรงตัวก็คือ ‘กระจกอมความร้อน’ ก็เพราะว่ากระจกเหล่านี้ มันช่วยลดความร้อนที่ผ่านกระจกเข้ามาได้ ด้วยการอมความร้อนไว้ที่กระจก ซึ่งกรณีที่กระจกสีตัดแสงถูกตากแดดนานๆ ทั่วกันทั้งแผ่น ความร้อนที่สะสมในกระจกจะค่อนข้างสม่ำเสมอกัน จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องกระจกแตกจากความร้อน (Thermal Breakage) ครับ
แต่ถ้าในบริเวณนั้น มีร่มเงาบางส่วนที่มาบังแดดไว้ ทำให้กระจกบางส่วนตากแดด และบางส่วนไม่โดนแดด (Shading) ตรงนี้จะทำให้อุณหภูมิที่สะสมในกระจกแผ่นนั้นแตกต่างกัน และทำให้กระจกแตกเองได้ครับ!
ในกรณีที่จะมีการใช้กระจกสีตัดแสง โดยเฉพาะกระจกสีเข้มๆ (ซึ่งจะมีค่าการดูดกลืนพลังงานความร้อนมากกว่าสีอ่อนๆ) หากบริเวณที่จะติดตั้งกระจกได้รับแสงแดดไม่เท่ากัน ควรจะเลือกใช้เป็นกระจกเทมเปอร์หรือฮีทสเตร็งเท่น ซึ่งกระจกสองชนิดนี้จะช่วยลดปัญหาในเรื่องของ ‘Thermal Breakage’ ที่เป็นตัวการทำให้กระจกแตกเองได้เป็นอย่างมากเลยครับ!
วันนี้เราพอจะรู้จักเกี่ยวกับทางเลือกที่หลากหลาย และข้อดีข้อเสียของกระจกสีตัดแสงกันไปบ้างแล้วนะครับ ไว้โอกาสหน้า… ผมจะมาเจาะลึกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระจกรุ่นใหม่ๆ บางตัว ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างดี และราคาไม่แพงนัก เผื่อไว้เป็นข้อมูลในการเลือกใช้กระจกสำหรับการอยู่อาศัยต่อไปนะครับ!
เรื่อง - กระจกไม่กระจอก - credit ภาพ: Guardian / PPG